การขายสินค้าออนไลน์ ในยุคที่จีนขายสินค้าจากประเทศเค้า ให้คนในประเทศเราได้ง่ายๆ แล้วพ่อค้าแม่ค้าในประเทศเราจะอยู่กันอย่างไร?
เป็นข่าวร้อนแรงที่เป็นกระแสมากๆในช่วงปีที่แล้ว คือเรื่องศูนย์กระจายสินค้า 'อาลีบาบา' ที่จะมาสร้างในประเทศไทย ทำให้เกิดประเด็นภาษี หนึ่งในความกังวลถึงความ เสียเปรียบ ของพ่อค้าแม่ค้าไทย เมื่ออาลีบาบามาตั้งศูนย์กระจายสินค้า กลายเป็นว่าอาลีบาบาสามารถนำสินค้าเข้ามาล็อตใหญ่ โดยปลอดอากรสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท จะไม่เสียภาษีนำเข้าและ Vat ขายถึงมือผู้บริโภคได้โดยตรงผ่านเว็บไซต์ marketplace ในเครืออย่าง Lazada ที่มีฐานความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทยต่อเนื่องมาหลายปี
ไหนจะเรื่องการจัดส่งสินค้าที่จะมีความรวดเร็วขึ้นจากเดิม ต้องรอนานเป็นเดือน เดี๋ยวนี้สั่งปุ๊บได้รับปั๊บภายใน 1-2 วัน กันเลยทีเดียว
ประเด็นร้อนพวกนี้ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พ่อค้าแม่ค้าที่เป็นลักษณะพ่อค้าคนกลาง คือซื้อมาขายไป จากการหาสินค้าถูกๆจากจีนมาขาย ต่อไปต้องเปลี่ยน เพื่อให้อยู่รอด อย่ารอจนปัญหาจวนตัวแล้วถึงจะค่อยปรับตัว ตอนนั้นก็คงสายไปแล้ว
วันนี้พ่อค้าแม่ค้าคนไทยจะสู้ได้ จำเป็นต้องใช้ความพยายามมากขึ้น และต้องปรับตัว ปรับกลยุทธ์ใหม่ เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด โดยเน้นหนักไปที่การสร้างสิ่งต่างๆ Brand ให้เกิดเป็น Asset ของตัวเอง และให้ Brand หรือ Asset ตัวนี้สร้างผลกำไรให้เรากินต่อไปได้เรื่อยๆไม่รู้จบ
ทางผมได้สรุปองค์ประกอบที่จะก่อให้เกิด Asset ที่สร้างกำไรขึ้นมาได้ ในยุค 2020 นี้ มาให้คุณลองอ่านแล้วนึกตาม ว่ามันดูสมเหตุสมผลหรือเปล่า โดยตัวอย่างสินค้าที่ประสพความสำเร็จจากแนวทางนี้ เช่น Freitag , Allbirds , Pomelo ฯลฯ เป็นต้น
1) Niche Market
เราจำเป็นต้องวาง Position ของสินค้าเรา เพื่อเจาะกลุ่มโดยเฉพาะเจาะจง หรือเรียกว่าตลาดเฉพาะกลุ่ม เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริง อย่าไปหว่านเยอะๆ จะทำให้คนจำเราได้ยาก และไม่มั่นใจในสินค้าของเรา เราควรวางตัวให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญสินค้าประเภทนี้จริงๆ เพราะเมื่อมีสินค้าที่ราคาถูกกว่าเรา แต่ทางฝั่งนั้นไม่ได้ดูเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือเป็นเว็บที่มีขายหลายๆอย่าง โอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าของเราจะมีสูงขึ้น
2) Branding & Design
สินค้าที่เราทำขายหรือนำมาขาย จำเป็นต้องสร้าง Branding และใช้ดีไซน์ มาช่วยให้สินค้าของเรามีความสวยงามและสร้างภาพจำให้แก่ลูกค้าได้ชัดเจน ต่อให้เป็นสินค้าที่เราไม่ได้สั่งผลิตเอง เราก็จำเป็นต้องสร้าง Branding เพื่อให้ดูโดดเด่นขึ้นมา และทำให้คนจำเราได้ ไม่ว่าจะเป็นกล่อง packaging นามบัตรที่จะแนบไปกับสินค้า หรือกราฟฟิคต่างๆในตอนที่เราทำโฆษณา อาจจะใช้สี 1 สีเพื่อแทน Brand ของเรา เช่นแอร์เอเชียสีแดง นกแอร์สีเหลือง แค่เห็นสีก็รู้ว่าเป็น Brand อะไร เป็นต้น
3) Storytelling
เป็นการเพิ่มลูกเล่นให้กับสินค้าของเรา ให้เกิด Emotional ในการตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการสร้างให้ Brand ของเรา เป็นผู้เชี่ยวชาญในสินค้านี้จริงๆ ก็ทำให้เกิดอารมณ์ที่ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น การมี Storytelling ที่ดีถือเป็นการ Add Value สินค้าได้ดี ทำให้เกิดกำไรสูงขึ้นโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
4) Outstanding Website
การที่เรามีเว็บไซต์ที่สวยงาม สื่อความเป็น Brand ได้ชัดเจน มีคุณภาพ รองรับอุปกรณ์มือถือ เพื่อนำเสนอสินค้า วิธีการใช้ รีวิวลูกค้าที่เคยใช้สินค้า หรืออธิบายถึงบริการต่างๆ ที่เราจะจัดสรรให้แก่ลูกค้าของเรา รวมไปถึงระบบการซื้อสินค้าที่รวดเร็ว ลดขั้นตอนยุ่งยากได้จริง จะทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจ หากทำเป็นระบบสมาชิก เพื่อให้ส่วนลดพิเศษ หรือให้ของแถมพิเศษยิ่งดึงดูดให้เค้าตัดสินใจมาซื้อผ่านระบบเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงอาจจะมีระบบ CRM ในการจัดการลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อสินค้าได้บ่อยขึ้นได้อีก (การมีเว็บไซต์ ก็เหมือนเรามี Asset หรือหน้าร้าน เป็นหลักเป็นแหล่ง ลูกค้าก็มั่นใจ)
หากเรามีสินค้า พร้อมกับองค์ประกอบต่างๆที่กล่าวมา และขายจนติดตลาดได้ ต่อไปก็เหมือนเรามี Asset ที่ก่อนให้เกิดกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปตัดราคาแข่งกับใคร ไม่ต้องสนใจคู่แข่งมากนัก เน้นแต่การพัฒนาสินค้าของเราให้ดีที่สุดก็พอ แบบนี้ มีทั้งความสุข และมีทั้งรายได้ที่ดีอีกด้วย